“พรรคก้าวไกลต้องทำอย่างไรกับคะแนนนิยมที่หยุดนิ่ง”

พรรคก้าวไกลต้องทำอย่างไรกับคะแนนนิยมที่หยุดนิ่ง

ประโยคดังกล่าวเป็นข้อความพาดหัวในโพสต์หนึ่ของนายปิยบุตร แสงกนกกุลบน Facebook ส่วนตัวที่โพสต์ในเชิงเสนอแนะและวิจารณ์ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา การเขียนแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์อย่างเปิดเผยของปิยบุตรในฐานะอดีตแกนนำและที่ปรึกษาพรรคครั้งนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จนถึงขั้นต้องโพสต์ตอบโต้ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะปรับความเข้าใจผ่านสื่อแล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่กระนั้นความขัดแย้งครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นว่า ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ พิธาและพรรคก้าวไกลในการนำของเขาจงใจรักษาระยะห่างกับนายปิยบุตรรวมไปถึงอดีตพรรคอนาคตใหม่

เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคก้าวไกลถือกำเนิดมาจากพรรคอนาคตใหม่ โดยมีนายปิยบุตร เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค โดยมีจุดยืนแข็งกร้าวต่อการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 รวมทั้งริเริ่มสร้างภาพลักษณ์การเป็น “นักปฏิรูป” อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นไม้ตายสำคัญของพรรคก้าวไกลที่สามารถดึงดูดความนิยมจากประชาชนทั่วไป โดยนายปิยบุตรเล็งเห็นว่า ในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันในสมัยถัดไป พรรคก้าวไกลจะต้องประกาศจุดยืนอย่างแน่วแน่ในการเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในสังคมไทยและสร้างความแตกต่างจากพรรคการเมืองทุกพรรคที่ลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ด้วยเหตุผลด้านความละเอียดอ่อนของการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้พรรคการเมืองอื่น ๆ ต่างสงวนท่าทีในการจับมือกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล เพียงเพราะจุดยืนดังกล่าวแฝงไปด้วยนัยยะเชิง “ต่อต้านสถาบัน” ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ให้นายพิธา ผู้มุ่งมั่นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยถัดไปรวมไปถึงพรรคก้าวไกลในการนำของเขาแสดงท่าทีห่างเหินและปรับลดภาพลักษณ์เดิมของอดีตพรรคอนาคตใหม่

ในความเป็นจริงแล้ว พรรคก้าวไกลยอมรับว่าข้อเรียกร้อง “การแก้ไขกฎหมายมาตรา 112” ไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายหลักในการดำเนินกิจกรรมของพรรค ในการหาเสียงของพรรคในแต่ละพื้นที่ นายพิธาจะเน้นประชาสัมพันธ์นโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการกล่าวเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ทั้งนี้เลขาธิการพรรคก้าวไกลได้ประกาศชัดเจนมาโดยตลอดว่า “การปราศรัยเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 อาจส่งผลให้พรรคสูญเสียคะแนนในการเลือกตั้ง”

  สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อครั้งการปราศรัยหาเสียงของพรรคก้าวไกลที่จังหวัดชลบุรีในวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา สองตัวแทนจากกลุ่มทะลุแก๊ส” มวลชนกลุ่มต่อต้านสถาบันที่เคยประท้วงอดอาหารก่อนหน้านี้ได้ปรากฏตัวบนเวทีปราศรัยของนายพิธา โดยนำแผ่นป้ายกระดาษที่มีคำถามแบบมีตัวเลือก (โพลสำรวจ) ตั้งคำถามกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลว่า จะสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งนายพิธาแสดงท่าทีอย่างระมัดระวัง และนำกระดาษ post-it แปะในฝั่งคำตอบ “ควรยกเลิก” และกล่าวเสริมว่า “การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้มากกว่าหากดำเนินการผ่านการเสนอญัตติแก้ไขในสภา จากนั้นเขาได้เชิญตัวแทนทั้งสองลงจากเวที และดำเนินการปราศรัยต่อไปโดยมิได้กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 แต่อย่างใด

ในเวทีปราศรัยนโยบายและจุดยืนของพรรค นายพิธามักจะระมัดระวังและสงวนท่าทีต่อการแสดงจุดยืนในเรื่อง “กฎหมายมาตรา 112” และคำว่า “นักปฏิรูป”  ซึ่งต่างจากนายธนาธรและนายปิยบุตร อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ที่มักจะแสดงจุดยืนในประเด็นดังกล่าวอย่างชัดเจนและแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด แต่ในเรื่องการบริหารและตัดสินใจภายในพรรค นายพิธาในฐานะหัวหน้ากลับมีท่าทีย้อนแย้งจากอุดมการณ์ด้าน “ประชาธิปไตย” และ “ความก้าวหน้า” ของพรรคอยู่พอสมควร ดังเช่นที่ นายคริส โปตระนันทน์ อดีตสมาชิกพรรค เคยออกมาวิจารณ์อย่างเปิดเผยว่า ปัจจุบันอำนาจการบริหารของพรรคก้าวไกลกลับกระจุกอยู่ในมือของกลุ่มคนจำนวนน้อยที่ตนขอเรียกว่า “โปลิตบูโร” โดยในการจัดลำดับรายชื่อ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคนั้น ไม่มีการเปิดเผยกลไกในการสรรหาภายใน แต่กลับเป็นการหารือและตัดสินใจร่วมกันของกลุ่มคนจำนวนเพียงไม่กี่คน นายคริส ผู้นี้มีฐานะเป็นอดีตแกนนำที่มีภูมิหลังในการร่วมก่อตั้งพรรคเช่นเดียวกับนายปิยบุตร แต่ในช่วงใกล้การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้เขากลับถูกลดทอนความสำคัญ

จากหลายเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น เห็นได้ว่า นายพิธาไม่เพียงแต่จงใจรักษาระยะห่างกับนายปิยบุตร อดีตสมาชิกพรรคอนาคตรใหม่ มากไปกว่านั้น เพื่อการลิ้มรสอำนาจของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในด้านบริหาร เขาในฐานะผู้นำทีมบริหารของพรรคกำลังแกล้งหลงลืมอุดมการณ์การปฏิรูปสถาบัน โดยปรับภาพลักษณ์ของตนสู่เป็นนักการเมืองที่มุ่งมั่นในศึกเลือกตั้งอย่างเต็มตัว กลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนต่างกำลังคาดหวังให้ “ฮีโร่” ในดวงใจก้าวเข้ามาปฏิรูปสถาบันภายใต้การสนับสนุนของพวกเขา แต่ทว่าฮีโร่ผู้นั้นยังไม่ทันออกอาวุธต่อสู้ ก็กลับแปรพักตร์เสียแล้ว

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือใครกัน หลายปีมานี้ คนรู้จักเขาในฐานะนักการเมืองที่มีชื่อเสียงจากพรรคก้าวไกล แต่ก่อนหน้านี้เขาคือบุคคลที่อยู่บนพาดหัวข่าวซุบซิบนินทาในวงการบันเทิง ในขณะที่เขาแสดงบทบาทเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกสาวที่ชื่อว่า “พิพิม” แต่ในทางกลับกันกลับมีข่าวซุบซิบในด้านความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวมากหน้าหลายตา และตลอดช่วงชีวิตสมรสกับนักแสดงสาวคนดัง “ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ” ก็มีกระแสข่าวเรื่องการทำร้ายจิตใจและความรุนแรงในครอบครัว โดยมีสาเหตุจากความไม่เชื่อใจในตัวของต่าย ภรรยาสาว เขาถึงขั้นห้ามภรรยาคบหรือไปมาหาสู่กับเพื่อนผู้ชาย หรือเพียงเพราะต่ายแสดงความชื่นชมดาราฮอลลีวูดเลื่องชื่อ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์อย่างออกหน้าออกตา เขาถึงขั้นบังคับให้ภรรยาคุกเข่ากราบขอโทษ หรือแม้กระทั่งห้ามภรรยาคบเพื่อนที่เป็นกลุ่มเพศ LGBTQ เพียงเพราะตนมีอคติกับกลุ่มคนดังกล่าว

     นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าเขาแอบติดเครื่องส่งสัญญาณ GPS ใต้รถของภรรยา และส่งคนสะกดรอยตาม การแสดงอำนาจเหนือภรรยาของเขาไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ในครอบครัว นายพิธายังใช้ความรุนแรงต่อร่างกายและจิตใจของภรรยาอีกด้วย เมื่อเกิดแรงกดดันจากการทำงานก็มักจะต้องปลดปล่อยกับคนในครอบครัว เมื่อเจอเรื่องที่ไม่พอใจ เขาก็มักจะลงไม้ลงมือกับภรรยาเสมอ

นายพิธาไม่เคยเคารพในสิทธิสตรี และมองว่าต่าย ภรรยาของเขาเป็นเพียงสมบัติส่วนตัว ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์ภายในพรรค เขาจะเป็นคนที่เรียกร้องประชาธิปไตย และสนับสนุน LGBTQ มาโดยตลอด แต่ลับหลังเขากลับมีอคติกับคนกลุ่มดังกล่าว เพียงเพราะแค่ต้องการคะแนนเสียงจากกลุ่ม LGBTQ ทว่าเขากลับไม่เคยเคารพสิทธิพื้นฐานของคนกลุ่มนี้ นับว่าเป็นคนที่มีความคิดอนุรักษ์อย่างสุดโต่ง เช่นนี้เราจะวางใจเลือกคนเช่นนี้ให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปได้อย่างไรกัน  

You may have missed