‘มงคลกิตติ์’ ลงพื้นที่มหาสารคาม รับฟังปัญหาฝนทิ้งช่วง ข้าวยืนต้นตายกว่า 30 – 40 % ชงโครงการ ‘ธนาคารน้ำใต้ดิน’แก้ปัญหา
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ที่แก้ไขปัญหาของประชาชนว่า เมื่อวานนี้ (20 กรกฎาคม) ตนและทีมงานพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ลงพื้นที่รับทราบปัญหาภัยแล้ง ในพื้นที่
น้ำแล้งซึ่งเป็นความเดือดร้อนจากพี่น้องประชาชนชาวเกษตรกรปลูกข้าว หมู่ 7 ต.เลิงใต้ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม
ซึ่งขณะนี้ เกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว มีความเดือดร้อน เนื่องจาก ข้าวในนาขาดน้ำมากว่า 2 เดือนแล้ว เริ่มแห้งตายไปกว่า 30-40% แล้ว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า จากการรับฟังข้อมูลของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตนได้ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูล พอสรุปได้ดังนี้ คือ
1.ช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ฝนจะทิ้งช่วง ปลายเมษายน ถึง สิ้น กรกฏาคม ของทุกปี
2.น้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ฯ ช่วง ปลายเมษายน 2562 มีอยู่ 73% และ ช่วง 20 กรกฏาคม 2562 เหลือ 23% เขื่อนอื่นๆในภาคอีสานจะมีปริมาณน้ำในเขื่อนเหลือน้อยตามลำดับ เนื่องจากฝนขาดช่วง
3.ช่วง สิงหาคม ถึง พฤศจิกายน ของทุกปี จะมีฝนตกชุก พายุเข้า น้ำป่าไหลหลาก เกิดน้ำท่วม น้ำเต็มเขื่อน เป็นปกติธรรมชาติ
4.หลังจากน้ำหลาก ทุกเขื่อนจะปล่อยน้ำออกจากเขื่อนอย่างเต็มที่ ไม่ค่อยกักไว้ใช้ยามน้ำขาด หรือ ปล่อยมากเกินไป อีกอย่างก็คือ ห้วย บึง หนอง คลอง ตาม ตำบล อำเภอ จังหวัด ต่างๆ ไม่มีการขุดให้ลึก เกิดการตื้นเขิน หรือ มีงบขุดแต่ทุจริตกันมาก ดังนั้น วิธีการแก้ไขระยะยาว ใช้งบประมาณประหยัด ช่วยเหลือประชาชนจนสำเร็จ คือ การทำธนาคารน้ำใต้ดิน แก้ปัญหา น้ำแล้ง-น้ำท่วม สามารถทำสำเร็จที่อำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี และ ที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จนน้ำลดกระทันหันสามารถช่วย 13 หมู่ป่าออกมาได้
5.จุดสำคัญ ช่วงฤดูน้ำหลาก เราไม่ควรปล่อยน้ำจนเต็มที่ ควรเก็บน้ำไว้ตามเขื่อนต่างๆสัก 90% ของปริมาณน้ำเต็มเขื่อน น้ำที่ปล่อยออกช่วงน้ำหลากไปควรเก็บไว้ตาม ห้วย หนอง คลอง บึง แต่น้ำก็ยังไม่พอใช้ช่วง 2 เดือนครึ่ง
ควรทำธนาคารน้ำใต้ดินเก็บน้ำไว้ตามพื้นที่ต่างๆ ไว้ดึงน้ำมาใช้ตอนฝนขาดช่วง 2 เดือนครึ่ง
“ส่วนฝนเทียมนั้นก็เป็นอีกวิธีที่ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เหมือนปัจจุบันที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังดำเนินการอยู่ แต่ถ้าผ่านถึงช่วง กลางเดือนสิงหาคม 2562 ฝน พายุ น้ำหลาก ก็จะเริ่มเข้าภาคอีสาน พื้นที่เกษตรก็จะเสียหาย ต้องมาจ่ายค่าชดเชยรายไร่อีกก็เป็นงบจากภาษีประชาชนอีก ซึ่งเราสามารถจัดการให้ความเสียหายให้น้อยลงไปได้กว่า 70% ถ้าเราแก้ไขเป็น มองภาพรวม และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากการประกาศภัยพิบัติ น้ำแล้ง-น้ำท่วม ในการทุจริตงบดังกล่าว ปัญหาก็จะน้อยลง จึงเรียนสรุปมาให้ทราบเบื้องต้น” นายมงคลกิตติ์กล่าว