บุรีรัมย์-“วัดพุทธบูชาป่าโคกปราสาท”ปราสาทหินเก่าแก่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

วัดพุทธบูชาป่าโคกปราสาทเดิมชื่อว่าวัดป่าโคกปราสาทอยู่ในบ้านหนองหัวลาวตำบลหนองปล่อง อำเภอชำนิจังหวัดบุรีรัมย์

 

เดิมชื่อว่าวัดโคกปราสาทตามพื้นที่เป็นทีเนิน เป็นโคกและก็มีปราสาทหินเก่าแก่อยู่ในป่านี้จึงเรียกว่าป่าโคกปราสาท ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นหัวเมืองหัวเมืองหนึ่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จะเสด็จไปเมืองพิมายจะต้องผ่านสถานที่กัวเมืองแต่ละที่และตรงป่าโคกปราสาทก็เป็นที่ที่ 1 ที่เป็นที่ประทับเดินทางของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมื่อเสด็จมาถึงก็มาพักอยู่ณปราสาทแห่งนี้เพื่อให้ชาวบ้านพสพนิกร บริเวณเมืองโคกปราสาทแห่งนี้ได้นำเครื่องสักการะเครื่องบรรณาการมาถวายแด่พระเจ้าชัยวรมันและปราสาทแห่งนี้สมัยดั้งเดิมเรียกว่าบ้านไฟบ้างหรือ อโรคยาศาลบ้างคือเป็นที่เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงก็มีการบวงสรวงสถานที่ตามประเพณี

 

เมื่อเจ้าเมืองไปที่หัวเมืองต่างๆก็ต้องมีประเพณีสักการะสถานที่แห่งนั้นในปราสาทจะมีศิวลึงค์ซึ่งเป็นที่บูชาของพราหมณ์ฮินดูในสมัยนั้นเมื่อพระราชาได้นำน้ำนมนำถั่วงาสิ่งต่างๆได้ทำพิธีสวดถวายองค์ศิวลึงค์เพื่อบูชาเทพแล้วก็จะเทราดน้ำนมลงไปในองค์สีวลึงพร้อมถัว งา น้ำอบ น้ำหอม อื่นๆลง ข้างๆองค์ศวะลึงก็จะมีรางน้ำเส้นทางน้ำไหลเมื่อบวงสรวงเสร็จก็จะเทไปในศิวลึงค์บูชาเทพน้ำนมพืชพันธุ์ต่างๆก็จะไหลไปด้านอีกทิศ1 ชาวบ้านหรือข้าราชขุนนางต่างๆก็จะมาตักเอาน้ำนมนั้นมาดื่มมาลูบศรีษะเพื่อความเป็นสิริมงคลเชื่อว่าเป็นการกำจัดทุกข์กำจัดโศกโรคภัยต่างๆได้ ชึ่งมีพระราชาได้มาทำพิธีพร้อมกับฤาษีพราหมณ์ต่างๆที่ติดตามพระราชามาด้วย ถือเป็นศิริมงคลแก่ชาวเมือง

 
วัดพุทธบูชา ก่อตั้งมาประมาณปี 2537ซึ่งมีเจ้าอาวาสองค์เดิมได้มาปฏิบัติธรรมอยู่แต่ก็ยังไม่ได้พัฒนาเท่าไหร่จนกระทั่งปี 2548 พระอาจารย์วิชาญ ธรรมโชโตหรือปัจจุบันพระครูปลัดวิชาญ ธรรมโชโต เดินธุดงค์หาที่ปฏิบัติธรรมแล้วก็มาพบสถานที่ป่าแห่งนี้ก็รู้สึกชอบความสงบและความเป็นปราสาทซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมห่างจากหมู่บ้านพอสมควรทั้งทางเข้าก็ลำบากเป็นถนนลูกรังแต่ก็ด้วยความสงบดูสัปปายะจึงตัดสินใจที่จะได้ปักกลดอยู่สัก 1 พรรษา ในตอนนั้นคิดอย่างนั้น

 
ต่อมาก็เกิดความผูกพันรู้สึกผูกพันในปราสาทผูกพันในสถานที่จึงได้ตั้งหลักปักฐานตั้งจิตอธิษฐานว่าจะอยู่พัฒนาวัดตรงนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบัน
นิมิตร…ในปลายปี 2548 ปีแรกที่มาปักกลดจำพรรษาอยู่กุฏิ รูปเดียวในป่าก็ได้มีเหล่าเทพหรือกลุ่มเจ้าที่เจ้าทางมาทดสอบให้เห็นบ้างเสียงเดินบ้างลมพายุบ้างตอนวันพระทุกๆวันพระก็จะได้ยินมีเสียงระนาดปี่พาทย์ดังมาจากปราสาทหินซึ่งห่างจากกุฎิไม่ใกลนัก ช่วงนั้นทุกๆวันพระ (ได้ยินแต่เสียงแถวๆปราสาทหิน) แต่ด้วยช่วงนั้นก็เป็นช่วงเข้าพรรษาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าหากว่าพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางหรือเจ้าปราสาทไม่ให้อยู่ขอออกพรรษาก่อนจะไปจากที่แห่งนี้หาที่อื่นอยู่แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าพรรษาจึงไม่สามารถไปที่ใดได้ จึงอธิฐานต่อว่า

 

หากว่าท่านทั้งหลายอยากให้ ข้าพเจ้า อตมาภาพ อยู่ให้ปฏิบัติแผ่เมตตาหรือก่อสร้างงานถวายเป็นพุทธบูชาก็จงมาให้เห็นในรูปดีๆเถิด เช่น เป็นรูปแต่งตัวสวยงามมีสังวาลย์เป็นเทพเป็นนางฟ้า มาในนิมิตรก็ได้หรือในฝันก็ได้อย่าได้ทำให้กลัวเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กลัว เพราะรู้อยู่ว่าทุกคนที่เกิดในโลกนี้ล้วนต้องตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ด้วยกันทั้งนั้นที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เพราะอยากจะเห็นธรรมเห็นแสงสว่างแห่งธรรมและเมื่อข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างแห่งธรรม ขอธรรมเหล่านั้นจงถึงแก่ท่านทั้งหลายด้วย หากว่าท่านทั้งหลายอนุญาตหรือให้อยู่ก็จงได้มาปรากฏให้เห็นในรูปที่สวยงามแม้แต่ญาติโยมที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยก็จงได้เห็นแต่สิ่งที่ดีงามในนิมิตรเถิด จากนั้นสิ่งต่างๆก็เริ่มดีขึ้นมาตั้งแต่นั้นญาติโยมก็เริ่มมาปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศให้เขาเหล่านั้นได้รับบุญด้วย

   

การก่อสร้างช่วงแรกๆ..
เกิดจากนิมิตให้เห็นการก่อสร้างเช่นก่อสร้างอุโบสถ และสร้างองค์ปู่พญานาค ก็จากโยมที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมได้เห็นเป็นงูใหญ่เลื้อยพาดบนปราสาทด้วยตาเปล่าหลายคนหลายท่าน ช่างวันพระ ติดต่อกันหลายคนเห็นหลายครั้ง อาตมาจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ว่าหากอยากได้สิ่งใดก็จงมาบอกด้วยนิมิตเถิด อย่าได้ทำให้โยมที่มาร่วมปฏิบัติธรรมกลัวเลย หลายวันต่อมาก็มีโยมมาปฏิบัติธรรมจำศีล ปู่พญานาคศรีสุทโธก็เข้าร่างของแม่ชีพราหมณ์คนนั้นจึงบอกว่าอยากได้สร้างองค์ปู่ให้ด้วยเพราะเป็นผู้เฝ้าดูปราสาทรักษาปราสาทและรักษาพระศาสนาขอท่านจงได้นิมิตเห็นและสร้างรูปปั้นให้ด้วยเถิด จะเป็นการดีแก่คนมาขอพร จึงมีการสร้างรูปปั้นเล็กๆประมาณเมตรกว่าๆต่อมาก็มีคนมาขอพร สำเร็จสมปราถนาหลายคนก็เริ่มมีการสร้างหมู่พญานาคเกิดขึ้นสร้างถ้ำเกิดขึ้นและอื่นๆ เรื่อยมา อย่างที่เห็นนี่แหละ

You may have missed