เปิดประวัติ “สุชาติ ชมกุล” จากเด็กวัด สู่ทนายมืออาชีพ มีชื่อเสียงระดับประเทศ


เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการรวมตัวกันของนักกฎหมายฝีมือดีหลายคน ร่วมกันจัดตั้งบริษัท บริษัทเอเชีย ลีกัล ฟรอนเทียร์ ลอว์ ออฟฟิค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ลงทุนในประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน และยุโรป ด้วยมองเห็นถึงความสำคัญทางด้านการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ที่ต้องมีตัวบทกฎหมายเป็นตัวชี้นำ ในการดำเนินธุรกิจ
และ 1 ในนักกฎหมายฝีมือดี คือ นายสุชาติ ชมกุล อดีตอดีตประธานสภาทนายความจังหวัดนนทบุรี หลายสมัย และยังเป็นทนายที่โด่งดังจากการทำคดีใหญ่ให้กับเจ๊ติ๋ม ทีวีพูล เป็นคดีปกครองระหว่างบริษัทไททีวี จำกัด กับคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมกับพวก, เป็นทนายความให้กับนางสาวอุษาวดี พูลเกิด หรือ ขวัญ อุษามณี ดาราสาวชื่อดัง รวมถึงเป็นผู้ฟ้องคดีปกครอง บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กับบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นทนายความผู้ฟ้องคดีแพ่งระหว่างบริษัทไอโมบาย พลัส จำกัด กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นทนายความให้นาง คณิตตา กรรณสูตร คดีครอบครองงาช้าง
สำหรับประวัติของ นายสุชาติ ชมกุล เกิดที่ จ.ลพบุรี และไปโตที่ จ.เพชรบูรณ์ เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ทางบ้านไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนในระดับสูง โชคดีที่มีพระมาขอรับอุปการะและพาไปอยู่ที่วัดศรีจุฬามณี จ.สิงห์บุรี ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ สมัยนั้นยังไว้ผมเปีย อาศัยกินนอนและเรียนหนังสือที่วัดศรีจุฬามณี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวัดศรีวินิตวิทยาคม (วัดโพธิ์ศรี) จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และเรียนต่อที่โรงเรียนอินทร์บุรี (วัดโบสถ์) จนจบ มศ.3 เมื่อจบแล้วหลวงพ่อเห็นว่า ถ้ายังเรียนต่างจังหวัด คงจะไม่มีโอกาสก้าวหน้าหรือได้เรียนในระดับสูงขึ้น ท่านจึงนำมาฝากวัดเขมาภิรดาราม จบเรียนจบชั้น มศ.5
แต่ด้วยฐานะทางบ้านยังคงยากจน จึงมุ่งหน้าเข้าสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก โดยนายสุชาติพักอาศัยที่ วัดเขมาฯ แล้วเดินทางไปเรียนแบบไปเช้าเย็นกลับ จนกระทั่งจบปริญญาตรี จากนั้นได้เข้าฝึกอบรมทนายความ จนกระทั่งได้ใบอนุญาตทนายความ เมื่อปี 2534 จึงได้ออกจากวัด รวมระยะเวลาเป็นเด็กวัด 20 ปี พอดี
นายสุชาติ เล่าว่า เมื่อได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความแล้ว จึงตั้งใจอุปสมบท 1 พรรษา และเมื่อสึกออกมา ก็ได้พบนักธุรกิจบ้านจัดสรร จนได้เป็นที่ปรึกษาโครงการบ้านจัดสรร ได้เรียนรู้ด้านการบริหารและการตลาด จนกระทั่งปี 2540 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงออกมาประกอบอาชีพทนายความ เพียงอย่างเดียว และด้วยความมีจิตอาสา และเสียสละดูแลช่วยเหลือพี่น้องทนายความจังหวัดนนทบุรี จึงได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ สภาทนายความ จ.นนทบุรี 2 สมัย
ต่อมา เมื่ออดีตประธานสภาทนายความจังหวัดนนทบุรี ไม่ประสงค์จะรับตำแหน่งต่อ จึงได้ถูกชักชวนจากเพื่อน ๆ ทนายความให้ลงสมัครชิงตำแหน่ง ประธานสภาทนายความจังหวัดนนทบุรี เป็น 1 ใน 4 ของผู้ลงชิงสมัครและเป็นผู้สมัคร ที่มีอายุน้อยสุด สุดท้ายได้รับการเลือกตั้ง ให้เป็นประธานสภาทนายความจังหวัดนนทบุรี ด้วยคะแนนเลือกตั้งชนะอย่างท่วมท้น ในปี 2547 ด้วยวัยเพียง 41 ปี ถือเป็นประธานสภาทนายความจังหวัด ที่มีทนายความมากที่สุดในประเทศไทย
นายสุชาติ ได้เป็นประธานสภาทนายความจังหวัดนนทบุรี 2 สมัย และต่อมาได้รับฉันทามติ จากประธานสภาทนายความภาค 1 รวม 12 จังหวัด ให้ลงสมัครลงชิงตำแหน่งกรรมการบริหารสภาทนายความภาค 1 (ประธานสภาทนายความภาค 1) ในนามทีม สัก กอแสงเรือง และได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริหาร สภาทนายความภาค 1 และต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารทนายความภาค 1 ในสมัย นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อีก 1 สมัย รวมเป็น 2 สมัยติดต่อกัน
ระยะเวลาประกอบอาชีพทนายความ รวม 30 ปี เศษ และเป็นผู้บริหารสภาทนายความราว 30 ปี และเป็นทนายความให้กับคดีใหญ่ ๆ จนชนะในหลายคดี ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น

You may have missed