TIJ ส่งเรือนจำต้นแบบรุกอาเซียนเริ่มประเทศแรกที่กัมพูชา

TIJ จับมือกรมราชทัณฑ์กัมพูชา ขยายผล “โครงการเรือนจำต้นแบบ” ไปปรับใช้ในเรือนจำหญิงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเป็นแห่งแรกในอาเซียน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหญิง และสร้างเสริมแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในการฟื้นฟูผู้ต้องขังให้สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างสงบสุขและยั่งยืน

 

 

ปัจจุบันประชากรผู้ต้องขังหญิงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยจากรายงานสถานการณ์เรือนจำโลกล่าสุดของสถาบัน Penal Reform International (PRI) ระบุว่าผู้ต้องขังหญิงและเด็กเพิ่มจำนวนสูงขึ้น 53% ระหว่างปี 2543-2560 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเรือนจำจะต้องมีกระบวนการและการปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐาน โดยคำนึงถึงความอ่อนไหวทางเพศภาวะของผู้ต้องขังหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำข้อกำหนดกรุงเทพ หรือ ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขัง มาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง ตลอดจนสร้างและรักษามาตรฐานการเป็นเรือนจำที่ดี

ล่าสุด สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) นำโดย ศ. (พิเศษ) ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการ TIJ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ ประเทศกัมพูชา นำโดย ดร. เฮง ฮัก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร. ชาน คิมเซง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ใน “โครงการเรือนจำต้นแบบเพื่อนำร่องการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพในประเทศกัมพูชา” เพื่อยกระดับกระบวนการยุติธรรมในประเทศกัมพูชาให้คำนึงถึงความอ่อนไหวทางเพศภาวะของผู้ต้องขังหญิงและเป็นไปตามมาตรฐานสากล

“การดำเนินโครงการนำร่องครั้งนี้ เป็นการสร้างภาคีความร่วมมือข้ามพรมแดน และเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประชากรกลุ่มเปราะบางในสังคม คือผู้ต้องขังหญิงที่เป็นประชากรกลุ่มน้อยในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มักจะถูกละเลยหรือมองข้าม สอดคล้องกับแนวคิดหลักของอาเซียนในปี พ.ศ. 2562 คือการร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ศ. (พิเศษ) ดร. กิตติพงษ์  กล่าว

ทั้งนี้ TIJ และกรมราชทัณฑ์ ประเทศไทย ได้ร่วมกันผลักดันการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยได้ดำเนินโครงการ “เรือนจำต้นแบบ” มีการจัดอบรมหลักสูตรผู้ประเมินเรือนจำตามข้อกำหนดกรุงเทพเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถเข้าใจหลักการในการประเมินเรือนจำต้นแบบและการใช้แบบประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพได้อย่างถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานราชทัณฑ์ทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ของกัมพูชาได้เข้าร่วมการฝึกอบรม มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการเข้าเยี่ยมชมเรือนจำต้นแบบ และเรือนจำที่นำข้อกำหนดกรุงเทพไปปรับใช้ ได้แก่ เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี เรือนจำกลางนครสวรรค์ เรือนจำชั่วคราวคลองโพ และทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงธนบุรี

ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์ ประเทศกัมพูชา ได้เชิญให้ ดร.นัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาพิเศษ TIJ และอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ประเทศไทย และนางสาวชลธิช ชื่นอุระ หัวหน้ากลุ่มโครงการส่งเสริมการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดเข้าร่วมประชุมแผนการดำเนินงานโครงการที่กรมราชทัณฑ์ ประเทศกัมพูชา พร้อมกับเข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเรือนจำ CC2 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการเฉพาะของผู้ต้องขังหญิงและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กัมพูชาด้วย

สำหรับ “โครงการเรือนจำต้นแบบเพื่อนำร่องการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพในประเทศกัมพูชา” ครั้งนี้มีกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการ 2 ปี มีเป้าหมายเพื่อฝึกอบรมการบริหารจัดการเรือนจำ โดยคำนึงถึงความอ่อนไหวทางเพศภาวะของผู้ต้องขังหญิงแก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่เรือนจำ CC2 เรือนจำหญิงที่ใหญ่ที่สุดของประเทศกัมพูชา การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อการปรับใช้ข้อกำหนดกรุงเทพในเรือนจำ CC2 การเพิ่มประสิทธิภาพสภาพแวดล้อมของเรือนจำ CC2 ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดกรุงเทพ และการร่วมกันพัฒนาโครงการฟื้นฟูผู้ต้องขังเพื่อการส่งกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TIJ หวังว่า แนวคิดและกรอบการดำเนินงานโครงการเรือนจำต้นแบบจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศกัมพูชา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหญิงภายใน CC2 ในฐานะเรือนจำนำร่องได้ นอกจากนี้ยังหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพในเรือนจำหญิงอื่นๆ ทั้งในประเทศกัมพูชาและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

///////

You may have missed